ถ้าจะให้พูดถึงกองกลางในยุค 90 ปลายๆแล้วคงจะหนีไม่พ้นและมีชื่ออยู่ในใจใครหลายคน ไม่ว่าจะเป็นแฟนบอลทีมอื่นก็ยังรู้สึกชื่นชม นั่นก็คือ สตีเวน เจอร์ราร์ด (Steven George Gerrard) ที่ใครหลายคนคุ้นเคยในสีเสื้อสีแดง ของ สโมสร ลิเวอร์พูล (Liverpool) หรือในบ้านเรารู้จักกันในชื่อ ”หงส์แดง” ที่เล่นบอลได้อย่างยอดเยี่ยม เป็นแบบอย่างให้กับนักฟุตบอลรุ่นใหม่ เป็นไอดอลของใครหลายคน และมีอิทธิพลอย่างมากทั้งใน-นอกสนาม การวางตัวที่เพื่อนร่วมทีมหลายคนต่างยกย่อง ไม่มีเรื่องเสียหายตลอดชีวิตการเป็นนักฟุตบอลเลยแม้แต่ครั้งเดียว
ประวัติส่วนตัว สตีเวน เจอร์ราร์ด

สตีเวน เจอร์ราร์ด เกิดเมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม ค.ศ 1980 ในเมือง ลิเวอร์พูล ย่านเมอร์ซีไซด์ ในหมู่บ้านเล็กๆที่ชื่อ วิสตัน ในประเทศอังกฤษ ที่นี่มีประชากรอยู่เพียงแค่หลักพันคนเท่านั้น สตีเวน เจอร์ราร์ด (Steven Gerrard) เริ่มต้นการเล่นฟุตบอลตั้งแต่ยังเด็กกับเพื่อนในหมู่บ้าน หลังจากนั้นก็เริ่มเล่นให้กับทีม วิสตัน จูเนียร์ (Whiston Juniors) ทีมในบ้านเกิด แต่แมวมองของสโมสรลิเวอร์พูลไปเห็นแววในการเล่นจึงทำให้ ”สตีวี่จี” ได้เข้ามาร่วมทีมอะคาเดมี่เยาวชนของลิเวอร์พูล ในปี 1989 ในตอนนั้น เจอร์ราร์ด อายุเพียง 9 ขวบเท่านั้น จนกระทั่ง เจอร์ราร์ดฝึกฝนฝีเท้าอยู่ในทีมเยาวชนเป็นระยะเวลา 9 ปี ก็สามารถเซ็นสัญญาอาชืพขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่ได้ในปี 1998
สตีเวน เจอร์ราร์ด จุดเริ่มต้นของตำนานแห่งถิ่นแอนฟิลด์

ในวันที่ 29 พฤศจิกายน ปี 1998 สตีเวน เจอร์ราร์ด ซึ่งสวมเสื้อเบอร์ 28 ก็ได้รับโอกาส ”ลงสนามนัดแรก” หลังจากขึ้นสู่ทีมลิเวอร์พูลชุดใหญ่ได้เพียงไม่นาน โดยถูกเปลี่ยนตัวลงมาแทนที่ เวการ์ด เฮ็กเกม (Vegard Heggem) ในนัดที่พบกับ แบล็คเบิร์น โรเวอร์ (Blackburn Rovers) ในศึก พรีเมียร์ลีก (Premier League) ผู้จัดการทีมในตอนนั้นก็คือ เชราร์ อุลลิเยร์ (Gérard Houllier) ผู้มอบโอกาสการเปิดตัวต่อหน้าแฟนบอลเหล่า เดอะค็อป (The Kop) ในสนามเหย้า แอนฟิลด์ (Anfield)
ต่อมาในฤดูกาล 1999-2000 เจอร์ราร์ด ก็ได้รับโอกาสจาก เชราร์ อุลลิเยร์ ผู้จัดการทีมให้เล่นตำแหน่งกองกลาง คู่กับ เจมี่ เร้ดแนมป์ (Jamie Redknapp) และยึดตำแหน่งตัวจริงตลอดทั้งฤดูกาลมาได้สำเร็จ แม้ว่าจะประสบปัญหาอาการบาดเจ็บที่โคนขาหนีบ อุลลิเย่ร์ ก็ตามหาหมอเก่งๆมารักษา ”สตีวี่จี” ได้สำเร็จในช่วงระยะเวลาสั้นๆ
จนกระทั่งในปี 2000-01 ฤดูกาลถัดมาเพียงปีเดียว Steven Gerrard ในวัย 20 ปี ก็สามารถพาสโมสร ลิเวอร์พูล คว้า ”ทริปเปิ้ลแชมป์” (Triple Champion) มาครองได้สำเร็จ นั่นก็คือ ลีก คัพ (League Cup), เอฟเอ คัพ (FA Cup), และ ยูฟ่า คัพ (UEFA Cup) สมัยนี้คือถ้วย ยูฟ่า ยูโรป้า ลีก (UEFA Europa League) และยังสามารถคว้า รางวัลนักเตะดาวรุ่งยอดเยี่ยมของสมาคมฟุตบอลอาชืพอังกฤษ (PFA) ได้สำเร็จอีกด้วย นับว่าเป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ในช่วงอายุเพียงแค่ 20 ปีในประวัติศาสตร์ของสโมสรอีกด้วย
กัปตันทีมคนใหม่และสร้างปาฏิหาริย์อิสตันบูล

ลิเวอร์พูล สามารถจบอันดับที่ 2 ในตารางคะแนนพรีเมียร์ลีก ในฤดูกาล 2001-02 ช่วยให้ลิเวอร์พูล คว้าสิทธิ์ไปเล่นฟุตบอล ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก (UEFA Champions League) ได้เป็นผลสำเร็จ และได้รับปลอกแขนกัปตันทีมในปี 2003 ต่อจาก ซามี่ ฮูเปีย (Sami Hyypiä) หลังจากที่ได้รับปลอกแขนกัปตันทีม Steven Gerrard ก็คอยกระตุ้นเพื่อนร่วมทีมอยู่เสมอและทำงานหนักตลอดทั้งเกมทุกครั้ง ไม่ว่าจะวิ่งไล่บอล วิ่งตัดบอล ส่ง หรือ ทำประตู จนได้รับฉายาจากเหล่าแฟนบอลว่า ”กัปตันไดนาโม” และในฤดูกาล 2004-05 ในนัดชิงชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ที่ต้องโคจรมาพบกับยอดทีมในตอนนั้นอย่าง เอซี มิลาน (Ac milan) ที่มีสตาร์ดาวดังของโลกมากมาย
อาทิเช่น ริคาร์โด กาก้า (Ricardo Kaká), อาเลสซานโดร เนสต้า (Alessandro Nesta), อันเดรีย ปีร์โล (Andrea Pirlo), คลาเรนซ์ เซดอร์ฟ (Clarence Seedorf), อังเดร เชฟเชนโก้ (Andriy Shevchenko), คาฟู (Cafu), ยาป สตัม (Jaap Stam), เปาโล มัลดินี่ (Paolo Maldini) และอีกหลายคนที่ไม่ได้กล่าวชื่อ สื่อหลายสำนักต่างมองว่า เอซี มิลาน มีโอกาสที่จะคว้าแชมป์มาได้อย่างไม่ยากเย็น และนั่นก็เป็นไปอย่างที่หลายคนคาดไว้เมื่อจบครึ่งแรก 45 นาที ลิเวอร์พูล ตามหลัง เอซี มิลานอยู่ 0-3 แฟนบอลและคนที่ได้รับชมมองว่าหมดสภาพและเกมมันจบลงแล้ว
แต่แล้วปาฏิหาริย์อิสตันบูล ก็เกิดขึ้นในช่วงครึ่งหลัง แม้ว่า ลิเวอร์พูลจะเป็นรองด้วยสกอร์ถึง 3 ลูก แต่แฟนบอลที่เดินทางไปที่สนามต่างร้องเพลง ”You never walk alone” ให้กำลังใจนักเตะกึกก้องไปทั้งสนาม และเพียงไม่นาน ลิเวอร์พูลก็สามารถยิงตีไข่แตกมาได้ จากการโหม่งทำประตูของกัปตันทีม ”หงส์แดง” สตีเวน เจอร์ราร์ด และประตูนี้เองจุดประกายให้เพื่อนร่วมทีมเล่นกันได้อย่างสุดยอด จนตีเสมอ 3-3 ได้ในท้ายที่สุด และต้องเล่นต่อเวลา ยังจบด้วยสกอร์เดิม ในการยิงจุดโทษ เจอร์ซีย์ ดูเด็ค (Jerzy Dudek) ผู้รักษาประตูชาวโปแลนด์ ก็สวมบทฮีโร่ ช่วยเซฟจุดโทษ ทำให้ลิเวอร์พูล คว้าแชมป์มาครองได้อย่างยิ่งใหญ่ แฟนบอลหลายคนต่างให้แมตช์นัดชิงชนะเลิศนี้ เป็นแมตช์ในความทรงจำตลอดกาลอีกด้วย
ถึงเวลาตำนานต้องจากถิ่นแอนฟิลด์

ในปี 2015 ในยุคผู้จัดการทีม เเบรนแดน ร็อดเจอร์ส (Brendan Rodgers) ตัดสินใจดร็อป สตีเวน เจอร์ราร์ด ในวัย 35 ปี อยู่หลายครั้ง เนื่องจากมีอาการบาดเจ็บและด้วยวัยที่มากขึ้่น สุดท้าย เจอร์ราร์ด ก็ตัดสินใจอำลาทีมหลังจากจบฤดูกาล ปิดฉากการค้าแข้งในถิ่นแอนฟิลด์ตั้งแต่อยู่เยาวชนจนกระทั่งขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่ลิเวอร์พูลไป 26 ปี หลังจากนั้นย้ายไปร่วมทีม แอลเอ แกแลกซี (Los Angeles Galaxy) เล่นได้เพียง 1 ฤดูกาลเท่านั้นก็ตัดสินใจประกาศแขวนสตั๊ด จบเส้นทางอาชืพนักฟุตบอล เมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน 2016
ผู้จัดการทีมไร้พ่าย

Steven Gerrard ผันตัวเองมาเป็นผู้จัดการทีม เริ่มต้นการคุมทีมกับ ลิเวอร์พูล (U18-U19) ต่อมาไปรับงานผู้จัดการทีมอย่างเต็มตัวกับสโมสร กลาสโกว์ เรนเจอร์ส (Glasgow Rangers) และสามารถ คว้าแชมป์ลีกสกอตแลนด์ แบบ ไร้พ่าย ได้อีกด้วย หลังจากนั้นกลับมาคุมทีม แอสตัน วิลล่า (Aston Villa), แต่คุมทีมได้ไม่ดีนักจึงถูกปลด ปัจจุบันคุมทีม อัล อิตติฟาค (Al-Ettifaq) ลีกประเทศซาอุดิอาระเบีย อยู่ทุกวันนี้
เกียรติประวัติ

ลิเวอร์พูล
เอฟเอ คัพ
แชมป์: 2000-01, 2005-06
ลีก คัพ
แชมป์: 2000-01, 2002-03, 2011-12
เอฟเอคอมมิวนิตีชีลด์
แชมป์: 2001, 2006
ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก
แชมป์: 2004-05
ยูฟ่า คัพ
แชมป์: 2001-01
ยูฟ่าซูเปอร์คัพ
แชมป์: 2001, 2005
รางวัลส่วนบุคคล

ผู้เล่นทรงคุณค่ายูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก 2004-05
นักฟุตบอลยอดเยี่ยมของสมาคมผู้สื่อข่าวอังกฤษ (PFA) 2009
รางวัลนักเตะดาวรุ่งยอดเยี่ยมของสมาคมฟุตบอลอาชืพอังกฤษ (PFA) 2001
นักฟุตบอลอังกฤษ 2007, 2012
บัลลงดอร์ ลำดับที่ 3
2005