You are currently viewing โรนัลดินโญ่ เพลย์เมกเกอร์พรสวรรค์ !!

โรนัลดินโญ่ เพลย์เมกเกอร์พรสวรรค์ !!

ย้อนกลับไปในยุค 90 นักเตะที่ทำให้แฟนบอลทั่วโลกจะต้อง ร้องว้าว เวลาพาบอลไปกับเท้า ชายผู้นั้นก็คือ โรนัลโด้ เด อัสซิส โมไรร่า (Ronaldo de Assis Moreira) หรือบ้านเรารู้จักกันในชื่อ โรนัลดินโญ่ (Ronaldinho) แฟนบอลบ้านเราตั้งฉายาว่า ‘เหยินน้อย’ จะมีลีลาการเลี้ยงฟุตบอลที่ตื่นตาตื่นใจ และการเล่นบอลที่สนุกสนาน มีรอยยิ้มตลอดการแข่งขัน ไม่ว่าจะไปลงสนามที่ไหน เหล่าแฟนบอลจะต้องซื้อตั๋วเข้าไปชมเกมเต็มสนามแทบจะทุกนัด

ไม่เพียงแต่ทีมเจ้าบ้านที่เข้ามาเชียร์ โรนัลดินโญ่ เพียงเท่านั้น ทีมเยือนที่ต้องเจอกับทีม โรนัลดินโญ่ ก็ต้องการเข้ามาดูลีลาการเล่นของนักเตะชาวบราซิลคนนี้เสมอ ผู้สร้างแรงบันดาลใจให้กับนักฟุตบอลยุคใหม่หลายคน อยากจะทำตามและเลียนแบบ การเลี้ยงบอล การทำประตู หรือ การยิงฟรีคิก ที่เฉียบคม ทุกวันนี้ยังสามารถรับชมคลิปวีดีโอต่างๆของชายคนนี้ได้อยู่เสมอเพราะเขาคือ ” ตำนานที่ยังมีลมหายใจ” ในปัจจุบัน

ประวัติส่วนตัว โรนัลดินโญ่

เหยินน้อย

โรนัลดินโญ่ เกิดเมื่อวันที่ 21 มีนาคม ค.ศ 1980 ที่เมืองปอร์ตูอาเลเกร ทางตอนใต้ บราซิล ทักษะพรสวรรค์ที่เหมือนพระเจ้าในโลกฟุตบอลมอบให้ เกิดขึ้น เมื่อตอนอายุได้เพียง 8 ขวบ และด้วยรูปร่างที่ตัวเล็กกว่าในบรรดาเพื่อนร่วมทีมทุกคนต่างเรียกชื่อ โรนัลดินโญ่ แทนที่ชื่อจริงอย่าง โรนัลโด้ หลายสโมสรในบราซิลต่างต้องการดึงตัว Ronaldinho เข้าไปร่วมทีมหลังจากโชว์ฟอร์มเทพ เล่นฟุตบอลข้างถนน แต่สุดท้ายทีมที่ได้ลายเซ็นนั่นก็คือ สโมสรเยาวชน เกรมิโอ้ (GRÊMIO) เป็นทีมในบ้านเกิดและเรื่องราวต่างๆก็เริ่มต้นจากที่นี่

จนกระทั่งในวัยอายุ 13 ปี ชื่อของ โรนัลดินโญ่ ก็เริ่มโด่งดังจากสื่อทั่วบราซิล หลังจาก ทำประตูคนเดียวไปถึง 23 ประตู ในเกมเดียวช่วยให้ เกรมิโอ้ ชนะคู่แข่งไปได้ 23-0 และจุดสำคัญนี้เองทำให้แฟนบอลทั่วบราซิล และ สื่อหลายสำนัก อยากรู้ว่าเด็กคนนี้เป็นใคร และในปี 1997 ก็ถูกเรียกติดทีมชาติบราซิล รุ่นอายุไม่เกิน 17 ปี ก็สามารถพาทีมชาติบราซิลคว้าแชมป์โลกมาครองได้สำเร็จ แถม โรนัลดินโญ่ ยังได้รับรางวัล ดาวรุ่งยอดเยี่ยมในทัวร์นาเมนต์นี้มาครองอีกด้วย

ไอ้เหยินน้อย

หลังจากการรับใช้ชาติบราซิลสำเร็จ ต่างมีหลายสโมสรยักษ์ใหญ่ทั่วยุโรปให้ความสนใจในตัว Ronaldinho แต่แล้ว เหยินน้อย ก็เลือกที่จะเซ็นสัญญาอาชืพกับ เกรมิโอ้ สโมสรบ้านเกิดแทนในปี 1998 แต่ก็อยู่ได้เพียง 3 ปีเท่านั้นก็ถูก สโมสรยักษ์ใหญ่จากฝรั่งเศส ก็คือ ปารีส แซงต์ แชร์กแมง (Paris Saint-Germain) ซื้อตัวเข้ามาร่วมทีม

เปลี่ยนผืนหญ้าให้เป็นฟลอร์เต้นรำ

โรนัลดิน

จากการที่ย้ายมาฝรั่งเศส เพื่อร่วมทีม เปแอสเช ทำให้ Ronaldinho ได้เรียนรู้อะไรหลายอย่างแต่ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับการมาอยู่ที่นี่ 3 ฤดูกาลที่อยู่กับ ปารีส แซงต์ แชร์กแมง ไม่สามารถโชว์ฟอร์มเก่งออกมาได้มากนัก ได้ลงสนามเพียงแค่ 55 นัด ยิงไปเพียง 17 ประตู จากการลงสนามรวมทุกถ้วยเท่านั้น และจุดเปลี่ยนสำคัญก็มาถึง สโมสรยักษ์ใหญ่ในสเปน อย่าง บาร์เซโลน่า (Barcelona) ก็ตัดสินใจซื้อตัวเข้ามาร่วมทีมในปี 2003 ด้วยค่าตัวสถิติสโมสร 25 ล้านปอนด์

หลังจากการลงสนามที่ คัมป์นู สนามเหย้าของ บาร์เซโลน่า โรนัลดินโญ่ ก็สามารถโชว์ฟอร์มเทพและโชว์ลีลาได้อย่างมหัศจรรย์ ใช้เวลาเพียงแค่ 2 ปี เท่านั้น ก็สามารถคว้า บัลลงดอร์ (Ballon d’Or) สมัยแรก มาครอบได้สำเร็จ และช่วยให้ บาร์เซโลน่า คว้าแชมป์ ลาลีก้า สเปน (LaLiga) อีกทั้งยังคว้าแชมป์ถ้วยใบใหญ่ของยุโรปอย่าง ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก (UEFA Champions League) มาครองได้สำเร็จอีกด้วย ด้วยลีลาการเลี้ยงบอลที่เหมือนการเต้นรำในสนามหญ้านี่เอง ที่แฟนบอลทั่วโลก เริ่มที่จะรู้จักและติดตามผลงานนักเตะชาวบราซิลผู้นี้ แฟนบอลบางรายถึงขั้นเริ่มต้นมาเชียร์บาร์เซโลน่า สโมสรของ โรนัลดินโญ่ เลยทีเดียว

ทำให้คู่ปรับยอมรับ

Ronaldinho

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้น เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน ค.ศ 2005 ในเกม ลาลีก้า สเปน นัดที่ 12 ของฤดูกาล บาร์เซโลน่าของ Ronaldinho มีโปรแกรมต้องออกไปเยือนทีมคู่ปรับตลอดกาลในศึก ”เอล กลาซิโก้” ที่สนามซานติอาโก้ เบร์นาบิว ของ เรอัล มาดริด (Real Madrid) ในตอนนั้นเอง Ronaldinho ก็ได้โชว์ลีลาการเลี้ยงฟุตบอลขั้นเทพ เล่นฟุตบอลไปยิ้มไปเหมือนคนมีความสุขเช่นทุกครั้ง และเหมา 2 ประตูในเกมนี้ ทำให้ เรอัล มาดริด แพ้คาบ้านต่อบาร์เซโลน่าผู้มาเยือน 0-3 และถูกยอมรับจาก แฟนบอลเรอัล มาดริด ”สแตนดิ้ง โอเวชั่น” ทุกคนในสนามต่างยืนขึ้นปรบมือให้ดังทั่วทั้งสนามซานติอาโก้ เบร์นาบิว

เป็นคนที่ 2 จากบาร์เซโลน่าที่ถูกยอมรับต่อจาก ”ดีเอโก้ มาราโดน่า” (Diego Maradona) ที่เกิดขึ้นครั้งแรกเมื่อวันที่ 26 มิถุนายน ค.ศ 1983 นัดนั้นจบด้วยการเสมอไปด้วยสกอร์ เรอัล มาดริด 2-2 บาร์เซโลน่า หลังจบเกม โรนัลดินโญ่ ให้สัมภาษณ์ว่า ”จะไม่มีวันลืมเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้ มันเป็นเรื่องที่ยากมากที่ได้รับเสียงปรบมือจากแฟนบอลคู่แข่งที่ดังมากขนาดนี้”

Ronaldinho

ในเวลาต่อมา โรนัลดินโญ่ ก็เริ่มติด ปาร์ตี้ มากขึ้น และสภาพร่างกายไม่พร้อมเหมือนเดิม การมาของ ”เป๊ป กวาร์ดิโอลา” (Pep Guardiola) ก็ตัดสินใจโล๊ะ นักเตะเบอร์ 1 ของโลก ในเวลานั้นออกจากทีม และให้โอกาสเด็กหนุ่มชาวอาร์เจนติน่านั่นก็คือ ”ลิโอเนล เมสซี่” (Lionel Messi) มากขึ้น จนทำให้ เหยินน้อย ต้องย้ายออกจากทีมโดยมีสโมสรยักษ์ใหญ่ของอิตาลี อย่าง ”เอซี มิลาน” (AC Milan) ดึงไปร่วมทีม ในปี 2008 และช่วยให้ ‘ปิศาจแดงดำ’ คว้าแชมป์ กัลโช่ เซเรียอา มาได้ในปี 2010-2011

หลังจากโชว์ลีลาอยู่ในอิตาลีเพียง 3 ฤดูกาล โรนัลดินโญ่ ก็ตัดสินใจย้ายกลับไปร่วมทีมในบราซิล อย่าง ฟลาเมงโก (Flamengo), แอตเลติโก้ มิเนยโร่ (Atletico Mineiro) และ ฟลูมิเนนเซ่ (Fluminense) จนกระทั่งประกาศแขวนสตั๊ด เมื่อวันที่ 17 มกราคม ค.ศ 2018 จบอาชืพนักฟุตบอลด้วยวัย 37 ปี

Ronaldinho

เกียรติประวัติ

เกรมิโอ้

โคปา ซูดาเมริกาน่า
แชมป์: 1999
กังเปโอนาตู เกาโช่
แชมป์: 1999

ปารีส แซงต์ แชร์กแมง

ยูฟ่า อินเตอร์โตโต้ คัพ
แชมป์: 2001

บาร์เซโลน่า

ลาลีก้า สเปน
แชมป์: 2004-05,2005-06

ซูเปร์โกปา เด เอสปันญ่า
แชมป์: 2005,2006

ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก
แชมป์: 2005-06

เอซี มิลาน

กัลโช่ เซเรีย อา อิตาลี
แชมป์: 2010-11

ฟลาเมงโก้

คัมเปโอนาโต คาริโอกา
แชมป์: 2011

แอตเลติโก้ มิเนยโร่

กัมเปโอนาตู มิเนโร่
แชมป์: 2013
โคปา ลิเบอร์ตาโดเรส
แชมป์: 2013
โคปา ซูดาเมริกาน่า
แชมป์: 2014

ทีมชาติบราซิล

Ronaldinho

ฟุตบอลโลก รุ่นอายุต่ำกว่า 17 ปี
แชมป์: 1997
ฟุตบอลอเมริกาใต้ รุ่นอายุต่ำกว่า 17 ปี
แชมป์: 1997
ฟุตบอลโอลิมปิก รุ่นอายุต่ำกว่า 23 ปี
เหรียญทองแดง
โคปา อเมริกา
แชมป์: 1999
ฟุตบอลโลก
แชมป์: 2002
ฟีฟ่า คอนเฟดเดอเรชั่นส์ คัพ
แชมป์: 2005

รางวัลส่วนบุคคล

Ronaldinho

รอยเท้าของ Ronaldinho บน The Champions Promenade ใน โมนาโก
ฟีฟ่า 100 (125 นักเตะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่ยังมีชีวิตอยู่ เลือกโดย เปเล่)
ติดทีมรวมดารา ฟุตบอลโลก 2005-06-07
นักฟุตบอลยอดเยี่ยมของโลก 2005-06
นักฟุตบอลแห่งปีอเมริกาใต้ 2013

ประตูยอดเยี่ยม ลีกเอิง ฝรั่งเศส
2003

ท็อปแอสซิสต์ ลาลีก้า
2005-06

ท็อปแอสซิสต์ กัลโช่ เซเรีย อา
2009-10

บัลลงดอร์
2005

ฟีฟ่า คอนเฟดเดอเรชั่นส์ คัพ
รองเท้าทองคำ 1999
ลูกบอลทองคำ 1999

โกลเด้นฟุต (เท้าทองคำ)
2009